วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้จัก SEO




SEO (Search Engine Optimization)

ขั้นตอนการทำ SEO ขั้นที่ 1 วิเคราะห์คู่แข่งและเลือกคีย์เวิร์ด ก่อนที่จะลงในเนื้อหา ขั้นตอนนี้ ผมจะพูดถึงเรื่อง SEO (Search Engine Optimization) กันก่อนนะครับ เผื่อมีบางคนหลงทางมาเจอ จะได้รู้ว่า SEO มันคืออะไร สำคัญยังไง ทำไมต้องทำ SEO ทำไมมีคนกล่าวถึงกันมากเหลือเกิน (ในกลุ่มเว็บมาสเตอร์และคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ) ก่อนอื่น ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้เป็นเทพจุติจากที่ไหน แต่อาศัยว่ามีประสบการณ์ในการทำ SEO มาพอสมควร นอกจากนี้ ก็ยังได้ถ่ายทอดให้น้องๆ อีกหลายคนทำตาม และก็ประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคนอีกหล่ะครับ SEO มันไม่ได้เป็นกฏตายตัว (เราไม่ใช่กูเกิ้ล เอ็มเอสเอ็น หรือ ยาฮูนี่ครับ) มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใครขยันหาข้อมูล รู้จักสังเกต นำมาปรับแต่งก็ได้เปรียบหล่ะครับ
SEO คืออะไร SEO (เอสอีโอ) มาจากคำเต็มๆ ว่า Search Engine Optimization ความหมายแบบบ้านๆ ลูกทุ่งๆ ก็คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ และกระบวนการต่างๆ ของเว็บไซต์ตั้งแต่การออกแบบ เขียนโปรแกรม และการโปรโมทเว็บ เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine (เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Google, MSN, Yahoo, AOL เป็นต้น)
SEO สำคัญยังไง อินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine ในการค้นหาข้อมูล แทนที่จะต้องพิมพ์ URL (Uniform Resource Locator) ก็ใช้ Keyword (คำค้น) ป้อนลงไปใน Search Engine Box ต่างๆ ก็จะค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างง่ายดาย และตรงประเด็น มีให้เลือกเปรียบเทียบอีกหลายๆ แห่ง สำหรับเรื่องๆ นั้น และเมื่อค้นพบแล้ว ก็จะมีการแสดงผลออกมาหลายๆ หน้า หลายๆ เว็บไซต์ เว็บที่ถูกแสดงเป็นอันดับที่ 1 2 3 หรือที่แสดงผลในหน้าแรก ก็จะถูกคลิกเข้าไปดูข้อมูลมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บตัวเองขึ้นอันดับ 1 ของ Keyword นั้นๆ เผื่อผลประโยชน์หลายๆ ด้านเช่น ขายสินค้า โฆษณา หรือโปรโมทร้านค้า บริษัทของตัวเอง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง ดังนั้น ผมสรุป ความสำคัญของ SEO ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ (ใครต้องการเพิ่มก็เขียนไว้ที่ คอมเม้นท์นะครับ)
  1. ทำให้เว็บของเราติดอันดับต้นๆ ในการแสดงผลงการค้นหา
  2. การเขียน Title ที่ดี Keyword Intrend ช่วยทำให้สะดุดตา แม้อันดับต่ำกว่า ก็มีสิทธิ์ถูกคลิกมากกว่า
  3. ทำให้เว็บเราถูกหลักของ W3C ซึ่งเป็นมาตรฐานของภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำให้ดูสละสลวยเมื่อ Search Engine มาเจอก็เก็บข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย
  4. เมื่อติดอันดับต้นๆ ทำให้ขายสินค้าได้ โฆษณาเข้ามา เพราะมีทราฟิก
  5. ติด Adsense ก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินค่าโฆษณาที่สูงด้วย เพราะมีทราฟิกก็มีโอกาส
  6. อื่นๆอ่า ยังไม่ได้เริ่ม ขั้นตอนเลย รอก่อนนะครับ รับรองว่า ได้ความรู้ไปใช้งานแน่ๆ



การทำ SEO คืออะไร

SEO หรือ Search engine optimization คือกระบวนการที่พยายามเพิ่ม Traffic ที่มีคุณภาพ เข้าสู่เว็บไซต์ (ของคุณ) จาก Search Enigne ต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะโดยปกติแล้วเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่ใน Search Engine ในลำดับแรกๆ มักจะถูกคลิกบ่อยกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ด้านล่าง หรืออยู่หน้าถัดไป โดยปกติแล้วเป้าหมายการทำ SEO นั้นอยู่หลายที่ เช่น Image Search, Video Search แต่ที่เราใช้มากที่สุดคือ Web Search นั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือ SEO คือการทำสงครามระหว่าง WebMaster ทั้งหลาย เพื่อช่วงชิงตำแหน่งสูงๆ ของผลลัพธ์ในการค้นหาจาก Search Engine ชื่อดังต่างๆ โดยมี Keyword เป็น อาวุธนั่นเอง 
 
การที่จะทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นเป็นผลลัพธ์แรกๆ ในการค้นหาจาก Search Engine นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราต้องอาศัยความพยายาม โดยหลักการทั่วๆ ไปดังนี้
  1. เลือก Domain Name ที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ ตัวอย่างของเว็บไซต์ที่เลือก Domain Name ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาคือ GameSpot.com ซึ่งตัวเว็บไซต์ ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Game
  2. การอัพเดทเนื้อหาที่สม่ำเสมอ การอัพเดทเว็บไซต์บ่อยๆ จะทำให้ Search Engine ได้รับข้อมูลใหม่ของเว็บไซต์เราบ่อยๆ โดยปกติแล้ว Search Engine จะชอบเว็บไซต์ ที่มีการเพิ่มเนื้อหาสม่ำเสมอ มากกว่าเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
  3. แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน ย้ำนะครับว่าเนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกัน ไม่เช่นนั้น Search Engine จะมองว่าเว็บไซต์ที่เราลิงค์ไปนั้นไม่มีคุณภาพ หรือไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ในเว็บไซต์ที่มัน indexed อยู่ สิ่งนี้จะทำให้เราเว็บไซต์ของเรามีค่าลดลงในสายตาของ Search Engine
  4. อย่ามีแค่เนื้อหา ถ้าคุณเวลา คุณสามารถอัพโหลดรูปภาพประกอบเนื้อหาเข้าไปด้วยจะดีมาก เพราะคนที่เข้าชมเว็บไซต์เห็นตัวหนังสือเยอะๆ จะเริ่มเอียน มีรูปภาพบ้างประปราย คนอ่านจะได้พักสายตาบ้าง แถมเว็บไซต์ของคุณอาจจะมีโอกาสไปปรากฏในผลลัพธ์การค้นหารูปภาพของ Search Engine อีกด้วย สองเด้งเลยทีนี้ แน่นอนรวมถึงการอัพไฟล์วีดีโอด้วย ถ้าทำครบได้ก็ดีเลยครับ
  5. ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าใช้ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญนะครับคุณลองดูอย่างเว็บไซต์ wikipedia นะครับ เค้าไม่ได้ออกแบบให้หรูหราอะไรเลย ใช้สีอยู่ไม่กี่สี รูปภาพไม่กี่รูป แต่น่าอ่าน คนใช้แล้วอยาก ใช้อีก บางเว็บนะครับ (ไม่ขอเอ่ยชื่อเว็บ) ใช้สีเยอะแยะรูปเยอะไปหมด เปลี่ยนรูปตัวชี้เมาส์เราอีกตะหาก เว็บเหล่านี้แหละครับที่จะไม่ค่อยกลับมาใช้อีกเพราะว่ามันใช้ลำบากครับ

ทำความรู้จัก Amazon




Amazon คือ
Amazon เป็นเว็บไซต์ที่ที่โด่งดังและใหญ่มากติดอันดับต้นๆของเว็บไซต์โลกเลยทีเดียว ( อยู่ประมาณอันดับที่ 27 ของโลก) มีชื่อเสียงทางด้านขายหนังสือ ขาย DVD หนังดังนั้นคนทั่วโลกจะเป็นที่รู้จักกันดี ว่า เว็บ Amazon ขายหนังสือ แต่ปัจจุบัน Amazon ได้ขายของทุกอย่าง มีทุกหมวดหมู่ของสินค้า นอกจากนั้น Amazon ยังสามารถให้เรามีโอกาสสร้างรายได้ โดยการเป็นผู้แนะนำ (Affiliate) ให้ คนอื่นไห้เข้ามาซื้อสินค้าในเว็บ Amazon และเมื่อมีคนมาซื้อสินค้าโดยผ่านการแนะนำมาจากเรา เราก็จะได้ผลตอบแทน(Commission) 4 %-10% เนื่องจากว่าชื่อเสียง Amazon โด่งดัง ดังนั้นการขายสินค้าของ Amazon ก็จะขายได้ง่าย เพราะว่ามีความน่าเชื่อถือสูง





ประวัติความเป็นมา
(www.amazon.com) เป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Amazon ได้กลายเป็นชื่อที่ทุกคนในวงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์รู้จักกันเป็นอย่างดี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของบริษัทได้กลายเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเอาดีในธุรกิจอินเตอร์เน็ต และจากการสำรวจของ Forbes ได้จัดอันดับให้ Jeff Bezos ติดอันดับคนที่รวยที่สุดในอเมริกาอันดับที่ 42 โดยมีทรัพย์สิน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Amazon เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกรกฎาคมปี 1995 โดยเริ่มจากการขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทันทีที่เปิดร้าน Amazon ประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนังสือให้เลือกซื้อได้ถึงกว่าล้านเล่ม การขายหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ตทำให้ Amazon ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเรื่องพนักงานขายและร้านค้า และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนในเดือนเมษายนปี 2000 Amazon มีลูกค้ารวม 20 ล้านคนจากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก

ต่อมา Amazon ได้เริ่มขยายตัวไปยังธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยเปิดขายสินค้าประเภทดนตรี: CD ในเดือนมิถุนายนปี 1998 เปิดขายวิดีโอและของขวัญในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ในปี 1999 Amazon ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อไป โดยเปิดการประมูลสินค้าระหว่างบุคคล และให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยสามารถมาตั้งร้านภายใน Amazon ได้โดยใช้ชื่อว่า zShops พร้อมกับเพิ่มสินค้าชนิดต่าง ๆ เข้าไปมากมาย จนปัจจุบัน Amazon ใช้สโลแกนว่า ™ ประเภทของสินค้าที่ Amazon ขายในปัจจุบันมีดังนี้ หนังสือ CD เพลง DVD วิดีโอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ ของเล่น วิดีโอเกมส์ สินค้าสุขภาพและความงาม ศิลปะและของสะสม เครื่องครัว อุปกรณ์และเครื่องตกแต่งสวน เครื่องมือที่ใช้ในบ้าน และยังมีร้าน zShops ซึ่งมีผู้จำหน่ายรายย่อยเข้าร่วมจำนวนมากและมีสินค้าที่ขายอยู่อย่างหลากหลาย พร้อมกับส่วนการประมูลหรือ Auction ซึ่งทำให้บุคคลธรรมดาสามารถนำสิ่งของของตนไปประมูลขายหรือหาซื้อสินค้าจากผู้อื่นได้

บริษัทมีรายชื่อหนังสือ เพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น เกมส์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขายรวมกันมากกว่า 1.8หมื่นล้านรายการ Amazon ยังขยายธุรกิจไปในต่างประเทศอีก 6 ประเทศ คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน แคนาดา

ในปี 1999 บริษัทมีลูกค้ามากกว่า 17 ล้านรายกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศ และมีรายได้จากการประกอบธุรกิจถึง 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 1998และ 1997 ตามลำดับ

สินค้าของ Amazon ที่มีการซื้อขายมาก ได้แก่ หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตุ๊กตา ของเล่น ของที่ระลึก เครื่องแก้ว เครื่องประดับ และอื่นๆ